บริษัทผู้รับผิดชอบ: สิ่งที่เราได้เรียนรู้จาก 50 ปีแรกของแพตตาโกเนีย
จะเป็นไงถ้าธุรกิจพันล้านดอลลาร์… ไม่สนใจเงิน?
เอาจริงๆ นะ
บริษัทเสื้อผ้าที่มูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์ (ราว 100,000 ล้านบาท!)
แต่กลับออกโฆษณาบอกลูกค้าว่า “อย่าซื้อแจ็คเก็ตของเรา”
บ้าไปแล้วเหรอ? 🤔
ไม่หรอก…
นี่แหละคือพลังของการทำธุรกิจแบบ “รับผิดชอบจริง” ที่คนรุ่นใหม่กำลังคลั่งไคล้
คิดดูสิ… ในยุคที่ Gen Z เลือกทำงานกับบริษัทที่มี purpose มากกว่าเงินเดือนสูง
ในยุคที่ผู้บริโภคพร้อมจ่ายแพงขึ้น 30% ถ้าแบรนด์นั้นใส่ใจสิ่งแวดล้อม
นี่คือเกมใหม่ของธุรกิจยุค 2025 ครับ
เฉลย: หนังสือเจ๋งจากประสบการณ์ 50 ปี
หนังสือ “The Responsible Company” (2012)
เขียนโดย ยวน ชูยินาร์ด ผู้ก่อตั้ง Patagonia
ร่วมกับ วินเซนต์ สแตนลีย์ หลานชายที่เป็นผู้อำนวยการด้านปรัชญาของบริษัท
ลุงยวนนี่เจ๋งสุดๆ
จากนักปีนผาหัวร้อนที่ทำอุปกรณ์ปีนเขาขายเพื่อนๆ
กลายเป็นเจ้าของธุรกิจพันล้านที่ บริจาคบริษัททั้งหมดให้โลก!
(ใช่ครับ ปี 2022 เขาโอนหุ้น Patagonia 100% ให้องค์กรไม่แสวงหากำไรเพื่อสู้วิกฤตสภาพอากาศ)
นี่ไม่ใช่แค่หนังสือธุรกิจธรรมดา
แต่เป็นคู่มือจากคนที่ทำจริง พิสูจน์แล้วว่าได้ผล 50 ปีเต็ม!
5 บทเรียนสุดแซ่บจากประสบการณ์จริง
1. “เราดำเนินธุรกิจเพื่อช่วยโลก” (ไม่ใช่แค่พูดเท่ๆ)
Patagonia บริจาคกำไร 1% ให้องค์กรสิ่งแวดล้อมทุกปี
ไม่ว่าบริษัทจะขาดทุนหรือกำไร
40 ปีแล้วครับ… บริจาคไปแล้วกว่า 140 ล้านดอลลาร์
นี่เรียกว่า walk the talk จริงๆ
2. ความโปร่งใสคือพลัง
รู้มั้ยว่า Patagonia เปิดเผยทุก supplier ทุกโรงงาน
พร้อมข้อมูลค่าแรง สภาพการทำงาน ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
โปร่งใสขนาดนี้ ลูกค้าเลยเชื่อใจสุดๆ
(ลองเทียบกับแบรนด์ fast fashion ที่ปิดบังทุกอย่างดูสิ)
3. คุณภาพดี = ขายน้อยลง = กำไรมากขึ้น (งงมั้ย?)
Logic แปลกๆ ของ Patagonia:
- ทำเสื้อที่ทนมาก ใส่ได้ 10 ปี
- ลูกค้าซื้อน้อยลง
- แต่พร้อมจ่ายแพงขึ้น 2-3 เท่า
- ต้นทุนผลิตต่ำลง (ไม่ต้องผลิตเยอะ)
- ลูกค้าภักดีสุดๆ แนะนำต่อเป็นทอดๆ
อ๋อ… นี่นี่เอง sustainable growth ที่แท้จริง!
4. ข้อจำกัด = นวัตกรรม
Patagonia ตั้งกฎเข้มงวดมาก
เช่น ห้ามใช้สารเคมีอันตราย ห้ามใช้ฝ้ายที่ไม่ organic
ผลคือ? ต้องคิดค้นวัสดุใหม่ๆ
เช่น fleece จากขวดพลาสติกรีไซเคิล (ตอนนั้นยังไม่มีใครทำ)
wetsuit จากยางธรรมชาติแทนปิโตรเลียม
กลายเป็น first mover advantage ไปเลย!
5. การเมือง? เล่นเลย!
Patagonia กล้าฟ้องรัฐบาลสหรัฐเรื่องสิ่งแวดล้อม
กล้าปิดบริษัททั้งหมดในวัน Climate Strike
กล้าปักป้ายบนเสื้อว่า “Vote the A**holes Out”
(ในช่วงเลือกตั้งที่ผู้สมัครไม่สนใจสิ่งแวดล้อม)
ผล? แบรนด์แข็งแกร่งขึ้นเป็นเท่าตัว
Gen Z รักเลย เพราะกล้ายืนหยัดในสิ่งที่เชื่อ
Framework ที่เอาไปใช้ได้เลย (ไม่ต้องเป็น Patagonia ก็ทำได้)
Step 1: หาค่านิยมหลักให้เจอ
ไม่ใช่แค่เขียนสวยๆ ติดผนัง
แต่ต้องเป็นหลักตัดสินใจทุกอย่าง
ถามตัวเอง: ถ้าต้องเลือกระหว่างกำไรกับค่านิยม เลือกอะไร?
Step 2: วัดสิ่งที่สำคัญจริงๆ
นอกจากยอดขาย กำไร ROI
ต้องวัด carbon footprint, employee happiness, community impact
Patagonia มี “Earth Tax” คิดต้นทุนสิ่งแวดล้อมในทุกการตัดสินใจ
Step 3: ดึงทุกคนมาเป็นพวก
พนักงาน ลูกค้า supplier ชุมชน
ทำให้ทุกคนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจ
Patagonia ให้พนักงานไปทำงานอาสา 2 เดือน (ได้เงินเดือนเต็ม!)
ให้ลูกค้าซ่อมเสื้อฟรีตลอดชีพ
Step 4: เล่นเกมยาว (Long Game)
อย่าหวังผลใน quarter นี้
Patagonia ใช้เวลา 20 ปีกว่าจะเปลี่ยนมาใช้ฝ้าย organic 100%
แต่พอทำสำเร็จ กลายเป็นข้อได้เปรียบที่คู่แข่งตามไม่ทัน
Insight ส่วนตัวหลังอ่านจบ
ผมว่าเจ๋งสุดคือประโยคนี้:
“The company that takes care of the planet will be taken care of by the customers”
(บริษัทที่ดูแลโลก จะถูกดูแลโดยลูกค้า)
มันพลิกความคิดแบบเดิมที่ว่า “ทำดีแล้วจะอยู่ยาก”
Patagonia พิสูจน์แล้วว่า…
ยิ่งทำดี ยิ่งแข็งแกร่ง
ยิ่งซื่อตรง ยิ่งได้ใจลูกค้า
ยิ่งแคร์โลก ยิ่งกำไรงาม
ควรอ่านมั้ย?
ถ้าคุณเป็น:
- เจ้าของธุรกิจที่อยากทำ purpose-driven company
- คนทำ startup ที่อยากสร้าง sustainable business model
- มนุษย์เงินเดือนที่อยากหาบริษัทที่มี meaning
- หรือแค่อยากรู้ว่าทำไม Patagonia ถึงเท่ขนาดนี้
ต้องอ่านครับ!
240 หน้า อ่านจบใน 2-3 ชั่วโมง
แต่ได้ mindset ที่เปลี่ยนมุมมองธุรกิจไปตลอดชีวิต
จริงๆ ผมอยากบอกว่า…
นี่ไม่ใช่แค่หนังสือธุรกิจ
แต่เป็น blueprint สำหรับอนาคตของทุนนิยม
ในยุคที่ความรับผิดชอบไม่ใช่ option
แต่เป็น ความอยู่รอด ของธุรกิจเลยครับ
P.S. หลังอ่านจบแล้วรู้สึกอยากลาออกไปตั้งบริษัทที่ save the world จังเลย 555